Friday 14 August 2015

กฎของ Volume

แค่ดู Volume ได้ก็มันส์แล้ว


ความสัมพันธ์ของ Volume และราคา
-หุ้นขึ้น Volume เพิ่มเป็นเรื่องปกติ
-หุ้นลงเพื่อพักตัว Volume หาย เป็นเรื่องปกติ
-ราคาขึ้น แต่ Volume ไม่ขึ้น แปลว่าขึ้นชั่วคราว
-ราคาสวนทางกับ Volume ราคาไปถึงจุดสูงสุดเดิม แต่ Volume ไม่ตามมาเท่าเดิม กำลังจะเปลี่ยนเทรนด์ ถ้าวันต่อมาไม่มี Volume เข้าให้รีบชิ่ง

หลักการ Volume
1. หุ้นขึ้น (ต้นรอบ) แต่ Volume หาย
-แปลว่ารายใหญ่กำลังเก็บของ ไม่ปล่อยหุ้นมาหมุนเวียนในตลาด 
**คาดว่าจะมีการทำราคาในอนาคต**

2. Volume มา ราคามา 
-แปลว่าเป็นการขึ้นจริง
แต่ถ้าราคามา Volume หาย ถึงจะไปแตะจุดเดิมก็แปลว่ากำลังจะทุบ วันรุ่งขึ้นจะร่วง รอสัญญาณคอนเฟิร์มอีกแท่งค่อยตัดสินใจ

3. Volume สูง
-ถ้าสูงแล้วมีแนวโน้มขึ้นอีก เล่นตามได้
-ถ้าสูงแต่ราคาเริ่มหดช่องแคบลงเรื่อยๆ ให้คิดขายทำกำไร
-ถ้าสูงแล้วพักตัวแล้วมีแนวโน้มจะสูงขึ้นแล้วก็ลดลงอีก ตัดสินใจขายทำกำไร

ข้อควรระวัง
1. หากราคาสูงไล่ขึ้นมา แต่ Volume ต่ำ แล้วค่อยมี Volume เข้าตาม นั่นคือเจ้าขายของ
2. หากราคาขึ้นไปแล้วพักตัว Volume ต่ำลงและราคาลง ถ้าแนวรับยังรับอยู่ แปลว่ายังพักตัวอยู่รอการขึ้น แต่ถ้าไล่ขึ้นสูงแล้ว Volume ไม่มีตามมา ก็เตรียมขายออก
3. Volume มามากเป็นประวัติการณ์ ไล่ราคาขึ้นไปสูงๆ ระวังจะเป็น Buying Climax เตรียมหนี
4.ช่วงท้ายรอบถ้า Volume มากแต่ราคากระดิกไม่มากหรือปิดแดงสั้นๆ อาจเป็นการสะสมหุ้นของเจ้ามือ เตรียมทำการจบรอบ

On Balance Volume (OBV)
http://www.ideatechnical.com/14793589/on-balance-volume-obv

เส้น OBV ควรจะมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มราคา (CONFIRMATION) คือถ้าราคามีแนวโน้มสูงขึ้น (UPTREND) เส้น OBV ก็ควรจะมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคาหุ้นนั้นยังมีแนวโน้มไปในทิศทางเดิมอยู่ เนื่องจากมีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนมากพอ แต่ถ้าราคามีแนวโน้มต่ำลง (DOWNTREND) เส้น OBV ก็ควรมีแนวโน้มต่ำลงด้วยแต่ถ้า OBV มีทิศทางต่างกันกับแนวโน้มของราคา (DIVERGENCE) อาทิเช่น เส้นราคาไต่ระดับสูงขึ้น แต่เส้น OBV มีแนวโน้ม ลดต่ำลงก็จะเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อได้อ่อนตัวลง และอาจทำให้ราคาเปลี่ยนทิศทางเป็นลงได้

การใช้เส้น OBV เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคานั้นสามารถแยกวิเคราะห์ได้ดังนี้

1. ถ้าราคาหุ้นมีราคาสูงสุดครั้งใหม่พร้อมกับ OBV ด้วย หรือราคาหุ้นลดลงเป็นราคาต่ำสุดครั้งใหม่พร้อมกับเส้น OBV จะเป็นการยืนยันการขึ้นและลงของราคาหุ้น แต่ถ้าราคามีแนวโน้มลดลงในขณะที่แนวโน้มของเส้น OBV ยังสามารถขยับสูงขึ้นเป็นค่าสูงสุดครั้งใหม่ จะเป็นการยืนยันว่าราคาจะต้องขยับสูงขึ้นอีกครั้ง

2. โดยการใช้เส้นแนวโน้ม (TRENDLINES) เป็นเส้นแนวต้าน หรือเส้นสนับสนุน เมื่อเส้น OBV ตัดผ่านเส้นแนวต้าน เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มของราคาจะขึ้น

3. โดยการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MOVING AVERAGE) สัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น OBV มีลักษณะอยู่ในแนวโน้มขึ้นและตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ขึ้น และสัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น OBV กำลังลดลงและตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลง


ที่มา
http://investorcoth.blogspot.com/2015/04/on-balance-volume-obv.html

OBV divergence
http://stockcharts.com/school/doku.php?id=chart_school:technical_indicators:on_balance_volume_obv

On Balance Volume & Price Divergence

https://www.youtube.com/watch?v=BV3zaSK7EvI

No comments:

Post a Comment